เริ่มด้วยการวิ่งไปรอบๆโรงแรมซึ่งวางอยู่ตรงตีนหุบเขา จากนั้นก็ปั่นจักรยานต่อโดยที่พักเที่ยงรับประทานอาหารแล้ว ก็มีเสียงดังขึ้นตรงหัวโต๊ะ "หากพวกคุณคิดว่ามันเหนื่อยแล้ว ขอให้เบาใจได้เลยเพราะเย็นนี้คงรู้สึกเหนื่อยกว่านี้หลายเท่า"
ใช่ การซ้อมมื้อเย็นถูกวางไว้โดยที่นักเตะไม่ทราบ มันเป็นคิวที่เพิ่มมาจากการประชุมของกลุ่มสตาฟฟ์เพื่อทดแทนช่วงที่ต้องบินไปทำศึกที่สหรัฐอเมริกาตามคำสั่งของสปอนเซอร์ ทว่าการมาเก็บตัวที่เมืองเล็กๆของแดนน้ำหอมจะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้ามาเลยยกเว้น "ทีมชุดใหญ่ลิเวอร์พูล"
กินอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน นักเตะใหม่ได้ปรับตัวคุ้นสภาพ เหงื่อแลกด้วยเหงื่อ ใครบางคนเริ่มยิ้มมุมปาก "เรามีทีมทีดีกว่าปีที่แล้ว เราจะพยายามไปให้ไกลที่สุด"
นั่นเป็นบางรอยย่ำตอนต้นเดือนสิงหาคม...
หมุนเข็มนาฬิกากลับไป ก่อนเกมนัดสองที่ลิเวอร์พูลยกพลไปมิวนิค ในห้องโถงของโรงแรมห้าดาวมีการนัดคุยกันก่อนศึกสำคัญ ตอนนั้นว่ากันตามตรงฟอร์มของทีมก็ไม่ได้แย่เพียงแต่มันมีความคิดกันไปเอง ความมั่นใจเริ่มถดถอยบ้าง นั่นทำให้คนเป็นโค้ชอย่างเจอร์เก้น คล็อปป์ต้องทำอะไรสักอย่าง
เกมแรกผลจบ 0-0ที่แอนฟิลด์
คล็อปป์พูดกับทุกคนว่า "มันคล้ายกับเกมที่พวกเราเสมอแมนฯซิตี้ในบ้าน เราทำให้ยอดทีมต้องเล่นด้วยความระวัง พวกเขาไม่กล้ามาเปิดแลกเรา พวกเขาเหมือนพอใจที่จะได้แค่ผลเสมอกับพวกเรา จดไว้นั่นแสดงว่าเราพัฒนาขึ้นมาเท่าไรแล้ว เราเป็นทีมที่ดีมากๆ"
ใช่ครับ คืนถัดไปบทเพลง Allez Allez Allez กระหึ่มอลิอานซ์ อารีน่า ลิเวอร์พูลบุกหักหัวเสือใต้ 3-1 ทะยานเข้ารอบตัดเชือกถ้วยบิ๊กเอียร์
สองเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ต่างกันของเส้นทางสโมสรหนึ่งที่เพิ่งประกาศศักดาเป็นเจ้ายุโรปสมัยที่ 6 โดยมันไม่ได้มาโดยง่ายแค่การทุ่มซื้อสองนักเตะอย่างที่หลายคนกล่าว ทว่ามันมาจากการวางแผน การซุ่มซ้อมหนักหน่วงจนสำคัญที่สุดต้องมีการงัดจิตวิทยามาถูกจังหวะ-เวลาของโค้ช
อลิสซง เองที่เมื่อคืนวันเสาร์โชว์เซฟสวยๆหลายหน บางคนถึงกับเลือกใช้ประโยคว่า "ปีก่อนหงส์ชวดแชมป์เพราะโกลแต่ปีนี้หงส์ได้แชมป์เพราะโกล"
นายทวารทีมชาติบราซิลบินมาร่วมแค้มป์ตอนสิงหาคม แค้มป์ก็ที่เอเวียง ประเทศฝรั่งเศสนั่นแหละเนื่องจากได้พักนานกว่าคนอื่นจากการไปกรำศึกเวิลด์ คัพ มา
คล็อปป์ เองรู้ว่างานแรกคือต้องทำให้ "คนหน้าใหม่" เป็น "คนหน้าเดียวกัน" ให้เร็วที่สุด เขาได้กำชับให้ โรเบร์โต้ ฟิร์มิโน่ เข้าไปเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ ทำอย่างไรก็ได้ให้ อลิสซง ไม่รู้สึกเคอะเขินกับทีม เพราะซีซั่นใหม่กำลังเปิดอีกไม่กี่วันแล้ว ข้อนี้ก็เป็นเรื่องเดียวกันกับตอน ฟาบินโญ่ หรือใครเข้ามา
"บางทีมคุณจะรู้สึกว่านักเตะหลายคนต่างคนต่างอยู่ นั่งกินข้าวคนเดียว เลิกการซ้อมก็แยกไปคนเดียวแต่สิ่งนี้ไม่มีให้เห็นที่นี่ ผมมาแล้วได้แต่คิดว่านี่มันครอบครัวใหม่ชัดๆ" ผู้รักษาประตูเจ้าของค่าหัว 65 ล้านปอนด์กล่าวเอาไว้
เพราะมีตัวอย่างมากมาย ซื้อนักเตะแพงๆมา ความคาดหวังสูงแต่ปรับตัวกับทีมไม่ได้...
ก่อนค่ำคืนที่ยืนยันถึงความสามารถของ คล็อปป์ ก็มีคำถามถาโถมสู่เขาเยอะ เนื่องจากต่อให้พัฒนาสโมสรตราหงส์ยอดเยี่ยมเพียงใดแต่ทีมก็ยังไร้โทรฟี่
เขาเองยักไหล่พูดก่อนบินมานครมาดริด "ผมเองทำทีมด้วยปรัชญาของผม เหมือนตอนอยู่ ไมนซ์ และ ดอร์ทมุนด์ เราต้องมีทีมที่เป็นก้อนเนื้อเดียวกัน ผมผิดหวังแน่ที่เรากวาดได้97แต้มแต่ก็ยังไม่มากพอคว้าแชมป์ลีก แต่ทำไงได้ อย่างน้อยผมกลับบ้านไปก็มีความสุขคืนได้เมื่อได้เจอครอบครัวที่รออยู่ ชีวิตเราต้องการตรงนี้"
คำว่า"Charisma"ซื้อขายกันไม่ได้ สอนกันไม่ได้ มันถูกสร้างขึ้นมาเองกับคนบางคน
นอกจากในลีกพาทีมโกยแต้มเป็นประวัติการณ์แล้ว เขาก็ยังได้เห็นสองนักเตะขึ้นไปรับรางวัลนักเตะแห่งปีติดต่อกันทั้ง โม ซาล่าห์ และ เวอร์กิล ฟาน ไดค์ นี่เองก็เป็นอีกหลักฐานถึงความสำเร็จของเขา
กระนั้นสิ่งที่ คล็อปป์ รู้สึกมีความสุขกว่าไม่ใช่แค่ตรงนั้น เขาเองพูดถึง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เสมอว่าการทำให้ผู้เล่นที่ดูแสนธรรมดาคนนึงกลายเป็นท็อปสตาร์ได้เป็นอะไรที่เกินกว่า "ภูมิใจ"
"ตอนที่แอนดี้เข้ามาสู่ทีมแรกๆผมมองเห็นว่าเขามีโอกาสพัฒนาได้แต่สิ่งที่เขาต้องปรับคือทัศนะคติว่าเขาเองเป็นผู้เล่นฟูลแบ็กดังนั้นเกมรับต้องมาก่อน คุณต้องเข้าปะทะ คุณต้องเข้าแย่งบอลคืนมาให้ได้ก่อนที่จะคิดถึงเกมรุก ถ้าเกมรับดีแล้ว อยากจะเติมขึ้นไปข้างหน้าก็ไม่ใช่เรื่องยากทว่าเขาต้องเปลี่ยนจากคำว่าฟูลแบ็กเป็นวิงแบ็ก.."
อืมมม
ขวบปฎิทินที่ผู้เล่นมูลค่า8 ล้านปอนด์คงไม่มีทางลืมตลอดชีวิต เป็นขวัญใจของ เดอะ ค็อป ไปแล้ว ทำแอสซิตส์ไปทั้งสิ้น 13 ลูก เหนืออื่นใดนี่แหละแบบฉบับนักเตะสไตล์คล็อปป์ "เล่นเหมือนมีสองปอด"
ซีซั่นนี้ คล็อปป์ กับ ทีมสตาฟฟ์ เองสุมหัวหนักตลอดเพราะในลีกก็ยังได้ลุ้น ในเวทียุโรปก็ผ่านเข้าเรื่อยมาจนมีช่วงนึงที่ดูว่ามีโอกาสจะคว้าดับเบิ้ลแชมป์ด้วยซ้ำ เขาเองต้องวางแท็กติกให้สอดคล้องกับคู่แข่งและโปรแกรม เขาเองไม่ได้เป็นคนดื้อที่ยึดติดแต่อะไรเดิมๆอีกต่อไป
อย่างเกมนัดชิงที่ชนะท็อตแน่ม 2-0 ย่อมไม่ใช่เกมที่เพอร์เฟกต์ที่สุด ดีที่สุดหรือเอนเตอร์เทนที่สุดแต่เป็นเกมที่สะท้อนพัฒนาการของลิเวอร์พูลชุดนี้ ชนะในเกมที่ควรชนะ ได้ประตูเร็ว ก็มาตั้งรับให้เหนียวแน่น รอโต้กลับตามอาวุธที่ตัวเองถนัด
แน่นอน ถ้วยหูกางมาประดับตู้โชว์ได้เป็นสมัยที่6 ย่อมยากนึกถึงค่ำคืนนั้นที่แอนฟิลด์(คืนบาร์เซโลนาไง) เป็นค่ำคืนที่หลายคนยืนกรานเสียงเดียวกัน"The Greatest Night"
อุปสรรคก่อนเกมนอกจากสกอร์ตามหลัง 0-3 แล้วก็ยังมีเรื่องหัวจิตหัวใจอีกแล้วที่คล็อปป์ต้องปลุกเร้าเพราะคืนวันจันทร์แมนฯซิตี้เอาชนะเลสเตอร์ได้ 1-0 เป็นประตูเบิกทางสู่แชมป์พรีเมียร์ลีก นักเตะหงส์บางคนก้มหน้ารับชะตา บางคนคงหยิบคลิปลูกตะบันสุดงามของ แว็งซ็องต์ กอมปานีย์ มาดู
คล็อปป์ตวาดทันที "Show some fucking balls"
มันเป็นประกายไฟของจุดเริ่มต้นบางอย่าง
นี่คือสโมสรที่อยู่แถวกลางตารางตอนใครสักคนเข้ามาแต่ตอนนี้สถาปนาเป็นราชายุโรปได้สำเร็จ จากเอเวียงถึงแอนฟิลด์พบรอยย่ำที่มีความหมายทุกย่างก้าว
สิ่งใดก็ตามที่ยิ่งใหญ่ย่อมมีเบื้องหลังที่ใหญ่กว่าเสมอ...
"""รับโปร 5% ยอด turnover แค่ 1 เท่า
รับโปร 10% ยอด turnover แค่ 3 เท่า
รับโปร 20% ยอด turnover แค่ 10 เท่า
****** พิเศษเฉพราะเดือนนี้ ******
รับโปร 300 โบนัส 200 turnover แค่ 5 เท่า
รับโปร 300 ฟรี99 (ถอนขั้นต่ำ2500) ไม่ต้องเทริน
โพสต์โดย : original เมื่อ 2 มิ.ย. 2562 23:06:44 น. อ่าน 140 ตอบ 0