แมนฯ ยูไนเต็ด ลงเล่นไปแล้ว 18 นัด เอาชนะคู่แข่งได้เพียงแค่ 6 นัดเท่านั้น โดยพลาดท่าพ่ายแพ้ไปแล้วถึง 5 เกม มันจึงเป็นผลงานที่แสนห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรนับตั้งแต่ลีกสูงสุดของเมืองหลวงแห่งลูกหนังเปลี่ยนชื่อเป็นพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
ย้อนกลับไปฤดูกาลที่แล้ว โชเซ่ มูรินโญ่ ถูกปลดออกจากตำแหน่ง หลังศึกแดงเดือดที่ แอนฟิลด์ ในเกมที่ 17 ของพรีเมียร์ลีก ด้วยผลงานชนะ 8 เสมอ 4 และแพ้ 5 สะสมได้ 28 แต้ม ซึ่งมากกว่าที่ แมนฯ ยูไนเต็ด สะสมได้ หลังผ่านไป 18 นัดในฤดูกาลนี้ 3 แต้ม
หากเบื้องบนของสโมสรใช้มาตรฐานเดียวกันในการตัดสิน – โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็ควรถูกปลดออกจากตำแหน่งเช่นกัน
“มูมู่” ไป “โอเล่” ยังอยู่
เข้าใจว่าฟุตบอลไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ แถมไม่มีอะไรแน่นอนหรือตายตัวในโลกลูกหนัง
เกมล่าสุดที่พลพรรคปีศาจแดงพ่าย วัตฟอร์ด ผู้ชมทางบ้านอย่างผมดูแล้วให้เกิดอาการหงุดหงิดตามง่ามนิ้วเท้าอยู่ 2 เรื่อง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องเดิมๆ นั่นแหละ
จุดแรกคืออะไรที่เรียกว่า “ทัศนคติ” ของผู้เล่นชุดนี้
ขอบอกว่า 11 ตัวจริงของ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดล่าสุดที่บุกไปเยือน วิคาเรจ โร้ด ก็คือชุดเดียวกับที่บุกไปเหยียบจมูก แมนฯ ซิตี้ ถึงถิ่นอย่างอุกอาจทุกตำแหน่ง ระบบการเล่นก็เหมือนกัน แถมเหนือกว่าเล็กน้อยๆ ด้วยซ้ำตรงที่มี ปอล ป็อกบา วางตูดรออยู่บนม้านั่งสำรอง !!!
แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ให้ปากคำหลังความปราชัยในการศึกครั้งล่าสุดประมาณว่าตัวเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดถึงเป็นแบบนี้ เนื่องจากพวกเขาก็เตรียมตัวเหมือนเกมที่บุกไปเยือนถิ่น อิสต์แลนด์ส ทุกอย่าง
สิ่งที่ปราการหลังค่าตัว 85 ล้านปอนด์ไม่ได้พูดถึงคือเรื่องของ “ทัศนคติ”
ศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ถือเป็นเกมสำคัญที่เพียบด้วยความหมาย นอกจากเจ้าบ้านจะเป็นแชมป์เก่า มันยังจัดเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีของสโมสรฟุตบอลที่ฝังหนอกในเมืองเดียวกัน ผู้เล่นสายพันธุ์อสูรสยองจึงลงไปพร้อมความมุ่งมั่นและทุ่มเทแบบเต็มพิกัดเก็บพลางทำตามแผนการของผู้เป็นกุนซือแบบไม่มีบิดพลิ้ว
ผลลัพธ์ออกมาคือความ…สะเด่าไปเลยอีน้อง
กลับกันเมื่อเจอทีมบ๊วยของตาราง
ต่อให้พวกมึง เอ๊ย! คุณไม่ชอบคู่แข่งที่ตั้งรับลึก ไม่เปิดพื้นที่ว่างในแดนหลังให้ หรืออะไรก็เถอะ คุณภาพของรูปเกมที่ตัวเองแสดงออกมามันควรจะดูดีมีชาติตระกูลกว่านี้
สิ่งที่ผู้เล่นในเครื่องแบบปีศาจแดงไม่ได้เอาลงไปด้วยคือความหื่นกระหายในชัยชนะ พวกเขาทำประหนึ่งคู่แข่งของตัวเองคือทีมเล็กๆ ท้ายตาราง ไม่จำเป็นต้องสำแดงความกระเหี้ยนออกมาแบบ 80,000 ตีนถีบก็เพียงพอที่จะยัดเยียดความปราชัยให้
ทัศนคติแบบนี้ถือเป็นธรรมชาติของนักฟุตบอลระดับดาราประเภท “โอเวอร์เรต” (Overrate) ซึ่งน่าจะแปลงโวหารเป็นไทยได้ว่า “เก่งตายห่า”
คือเวลาเจอทีมที่อ่อนกว่าเมื่อไหร่ก็จะติด “แอ๊กต์” ประมาณว่า “กูเหนือ” ไม่จำเป็นต้องวิ่งพล่านพลางบดบี้ให้สิ้นเปลืองพลังงาน เพราะใส่แค่ 60-70% ก็น่าจะเพียงพอต่อชัยชนะ
แต่เป็นแบบนี้มากี่นัดแล้ว
เกมที่แพ้ คริสตัล พาเลซ – เกมที่แพ้ เวสต์แฮม – เกมที่แพ้ นิวคาสเซิ่ล – เกมที่แพ้ บอร์นมัธ และเกมล่าสุดที่แพ้ วัตฟอร์ด พบว่ามีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่าง คือการเล่นแบบเหยาะๆ แหยะๆ ของนักเตะพลางยักไหล่ด้วยความคิดที่ว่าคู่แข่งของตัวเองอ่อนกว่า
สุดท้ายถูกยิงนำก่อนแล้วไม่เคยกลับมาได้แม้แต่เสมอ
นี่คือสิ่งที่เแก้ไม่หาย แถมเป็นคำตอบอีกอย่างของคำถามที่ว่าทำไมถึงเล่นได้ดีกับทีมใหญ่ แล้วชอบแจกแต้มให้ทีมเล็กๆ นอกเหนือจากรูปแบบการเล่นของคู่แข่งที่ถอยไปตั้งรับลึก
อีกเรื่องหนึ่งที่มองเห็นแล้วหงุดหงิดคือวิธีการแก้ไขสถานการณ์ของผู้จัดการทีมในสภาวะฉุกเฉิน
จุดนี้ขอออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้เก่งกว่าโค้ช และแน่นอนว่าไม่ได้เก่งไปกว่า โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ไม่ได้ร่ำเรียนวิชาโค้ชชิ่งอะไรมา อาศัยการดูอย่างตั้งใจและเป็นเวลานานจนพอที่มีประสบการณ์ในการวิเคราะห์ได้บ้างเท่านั้นเอง
และที่สำคัญก็คือ “ตัวอย่าง” จากที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เคยแสดงออกมาให้เห็นนั่นแหละ
เมื่อตกเป็นฝ่ายตามตูดคู่แข่งถึง 2 ดอก ตอนนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ตกอยู่ในภาวะเรียกว่า “ไม่มีอะไรจะเสีย” แล้วนะครับ
แทนที่จะแก้เกมเหมือนที่เคยใช้ได้ผลในเกมที่เสมอกับ เชฟฯ ยูไนเต็ด 3-3 หรือเกมก่อนหน้านี้ที่ไล่ตีเสมอ เอฟเวอร์ตัน ได้สำเร็จ คือปรับระบบเป็น 4-4-2 เพื่อใช้กองหน้า 2 ตัว เพิ่มความรุนแรงในเกมรุก
การส่งผู้เล่นที่ยิงประตูได้ดีอย่าง เมสัน กรีนวู๊ด จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่การเลือกถอด ดาเนี่ยล เจมส์ ออกจากสนามคือสิ่งที่ทำให้ผู้ชมทางบ้านอย่างผมต้องสบถถึงสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ซึ่งชอบแดกเรือดำน้ำเป็นอาหาร
แม้จะเล่นไม่ค่อยออก แต่ความเร็วของเจ้าหนูสิงห์นักเตะผู้นี้ยังมีประโยชน์ ส่วน เจสซี่ ลินการ์ด ที่ขนาดเด็ก ป.4 ไม่มีเส้นก็ยังมองเห็นได้ว่า…อยู่ไปก็เท่านั้น กลับได้อยู่ในสนามต่อ…ซะอย่างนั้น
ฉะนั้น & ฉะนี้
เพียงเหตุผลเดียวที่พอจะบอกได้ว่าทำไม โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ถึงยังคงนั่งชันเข่าพลางทำหน้านิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้ผู้จัดการทีมของ แมนฯ ยูไนเต็ด คือ…คือ…คือ…
ไอ้พวกผู้บริหารเฮงซวยมันคงมองกันไม่ออก และคิดไม่ได้
ว่าแล้วก็ขอให้คิดเสียว่า “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” ก็แล้วกัน
บางทีจบฤดูกาลนี้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อาจแยกทางกับ แมนฯ ซิตี้ แล้วต้องการความท้าทายใหม่ๆ
หรือบางทีจบฤดูกาลนี้ ซีเนดีน ซีดาน อาจแยกทางกับ เรอัล มาดริด…ก็..เป็น..ได้
หน่วยเหนือจึงยังไม่ต้องรีบด่วนตัดสินใจ รอให้จบฤดูกาลนี้ก่อนอาจยังไม่สายเกินไปนัก
กว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะเจอ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พวกเขาใช้เวลาเกือบ 20 ปี แถมรออีก 5-6 ปี กว่านะสร้างทีมให้ยิ่งใหญ่
กว่า ลิเวอร์พูล จะค้นพบผู้ปลดปล่อยอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็รอนานกว่า 25 ปี แถมเสียเวลาอีก 3-4 ปีกว่าจะสร้าง “เครื่องจักรสีแดงผู้อหังการ” ขึ้นมาอาละวาดสร้างความเดือดร้อนให้ชาวโลก
เห็นหน้าเปื้อนกระของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา แล้วก็ต้องอดทนกันต่อไปก่อนนะครับ ใครทนได้ก็ดี ใครทนไม่ได้ก็ต้องทน…เท่านั้นแหละ
บอ.บู๋
อ่านข่าวเกี่ยวกับบอล:https://www.fifa55premium.com
โพสต์โดย : LaPALux เมื่อ 25 ธ.ค. 2562 10:22:45 น. อ่าน 143 ตอบ 0