โซดาซ่า ดูบอล
Menu
กรุณากดปุ่ม แชร์ ให้เพื่อนๆได้มาดูด้วย

ไม่มีวันลืม! 5 แมตช์แห่งความทรงจำ ลิเวอร์พูล ในรอบ 1 ทศวรรษ



ไม่มีวันลืม! 5 แมตช์แห่งความทรงจำ ลิเวอร์พูล ในรอบ 1 ทศวรรษ

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ได้สร้างผลงานชั้นยอดมากมายภายใต้การกุมบังเหียนของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์

โดยเกมเหล่านั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของเหล่าสาวก “เดอะ ค็อป” ไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะค่ำคืนแห่งการพลิกนรกในแมตช์ปะทะ บาร์เซโลน่า ที่แอนฟิลด์ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

1. ลิเวอร์พูล 4-0 บาร์เซโลน่า (วันที่ 7 พฤษภาคม 2019)  
ต้องยอมรับว่ามีเกมที่โด่งดังมากมายในค่ำคืนฟุตบอลถ้วยใบโตยุโรปที่สนามแอนฟิลด์ แต่บางทีอาจจะไม่มีเกมไหนที่สุดยิ่งใหญ่อลังการเท่ากับสิ่งที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ในแมตช์ที่ 2 นัดการมาเยือนของ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ในรอบรองชนะเลิศ

ในเกมแรก บาร์ซ่า ดูเหมือนจะก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อพวกเขาเอาชนะ “เดอะ เร้ดส์” 3-0 ที่คัมป์ นู โดยแมตช์นั้น ลิโอเนล เมสซี่ โชว์ฟอร์มสุดยอดเกินห้ามใจ แถมบรรดาสาวก “เจ้าบุญทุ่ม” ก็ดูเหมือนมั่นอกมั่นใจว่าพวกเขาจะได้ลุ้แชมป์ “บิ๊กเอียร์”

อย่างไรก็ตาม แอนฟิลด์ ไม่ใช่สนามง่ายๆ ที่ใครจะมาเล่นแล้วได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ โดยสาวก “เดอะ ค็อป” กว่า  40,000 รายพยายามส่งเสียงกระตุ้นนักเตะอย่างเต็มที่ และพวกเขาก็เริ่มเห็นแสงที่ปลายอุโมงค์เมื่อได้ประตูนำในครึ่งแรกจากการซ้ำของ ดิว็อค โอริกี้

ขณะที่ครึ่งหลังเหล่าแฟนคลับหงส์แดงทั่วโลก ต่างตีปีกบินหลาเมื่อทีมรักได้อีก 2 ประตูจาก จอร์จินโย่ ไวนัลดุม ทำให้สกอร์นำ 3-0 รวม 2 แมตช์เสมอกัน 3-3 และเหตุการณ์ช็อกโลกก็เกิดขึ้นเมื่อ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ โชว์กึ๋นด้วยการเล่นเตะมุมเร็ว ทำให้ โอริกี้ ได้โอกาสยิงประตูทอง และเป็นประตูชัยนำพวกเขาไปยังสนามว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ สังเวียนนัดชิงชนะเลิศ และที่เหลือก็คือประวัติศาสตร์

2. ลิเวอร์พูล 1-0 นาโปลี (วันที่ 11 ธันวาคม 2018)
สำหรับสาวก “เดอะ ค็อป” แล้วนี่คือเกมที่นำไปสู่ประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของ ลิเวอร์พูล เพราะหากแมตช์นี้ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่สามารถเอาชนะ นาโปลี ในเกมสุดท้าย รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม ซี แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยที่ 6 คงไม่เกิดขึ้น !!!

เกมนั้นสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ล่อแหลมต่อการตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างมาก โดนในโปรแกรมนัดสุดท้ายที่แอนฟิลด์ พวกเขาต้องเจอด่านหินเมื่อต้องปะทะกับ นาโปลี ซึ่งมัน คาร์โล อันเชลอตติ กุมบังเหียนในเวลานั้น เป็นทีมที่ “หงส์แดง” ออกไปแพ้มาแล้วในเกมเยือนดินแดนมะกะโรนี

เงื่อนไขของ “หงส์แดง” ก็คือต้องเอาชนะ นาโปลี ให้ได้ และแค่ 1-0 ก็เพียงพอต่อการเข้ารอบ เนื่องจากถ้าจบลงด้วยสกอร์นั้น เงื่อนไขต่อการเข้ารอบของทั้งสองทีมจะเท่ากันหมด จนทำให้ต้องมาดูกรณีจำนวนประตูรวมที่ทั้งสองทีมยิงได้ในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่ง ลิเวอร์พูล จะทำได้มากกว่า นาโปลี

โม ซาลาห์ จัดการส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายในนาทีที่ 34 จากนั้นทีมเยือนพยายามที่จะยิงประตูตีเสมอให้ได้ และก็เกือบสำเร็จเมื่อในช่วงนาทีสุดท้ายของเกมเมื่อ อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค ได้ยิงบริเวณเขต 6 หลาแต่เป็น อลีสซง เบ็คเกอร์ ที่สวมบทเซฟแห่งชีวิตอย่างน่าเหลือเชื่อ ส่งพวกเขาเข้ารอบน็อกเอาต์แบบใจหายใจคว่ำ

ส่วนบทสรุปในรายการนี้ คงรู้ว่าคืออะไร !!

3. ลิเวอร์พูล 2-0 ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (วันที่ 1 มิถุนายน 2019)
ลิเวอร์พูล ไม่ใช่ทีมเดียวเท่านั้นที่พลิกสถานการณ์ในรอบรองชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลที่านมา เพราะ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ก็สร้างเรื่องสุดเหลือเชื่อด้วยการพลิกนรกในการคัมแบ็กเกม 2 แมตช์ปะทะอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ส่งให้พวกเขาได้เข้าไปเล่นรอบชิง ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

นี่เป็นศึกออลอิงแลนด์ครั้งที่ 2 ในถ้วยใบโตยุโรป หลังจากที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดวลกับ เชลซี เมื่อปี 2008 โดยแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล เริ่มต้นได้อย่างสวยหรูด้วยการได้จุดโทษหลังเกมผ่านไปแค่ 24 วินาทีเท่านั้นซึ่งมาจากจังหวะสุดฉลาดของ ซาดิโอ มาเน่ ที่เปิดบอลไปใส่มือ มุสซ่า ซิสโซโก้ และเป็น โม ซาลาห์ ที่ขัดอาสากดประตูขึ้นนำ

ส่วนในครึ่งหลัง ดิว็อค โอริกี้ ซึ่งลงมาเป็นตัวสำรอง จัดการยิงประตูตอกฝาโลงในช่วง 3 นาทีสุดท้าย ส่งให้ ลิเวอร์พูล ผงาดคว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ และเป็นแชมป์โทรฟี่ “หูกาง” สมัยที่ 6 จากนั้นก็สานต่อความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ ในเวลาต่อมา

4. ลิเวอร์พูล 1-0 ฟลาเม็งโก้ (วันที่ 21 ธันวาคม 2019)
ต้องยอมรับว่าปี 2019 เป็นปีแห่งความสำเร็จของ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง และเป็นการเริ่มต้นทศวรรษใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ หรือฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก เป็นครั้งแรกของสโมสร

คล็อปป์ เดินหน้าสานต่อความสำเร็จจาก แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการนำลูกทีมปราบซ่า เชลซี ในศึกยูฟ่า ซูเปอร์คัพ จากนั้นก็ขนทัพ “หงส์แดง” ยกพลขึ้นบกบุกดินแดนตะวันออกกลางเพื่อไปทำศึกสำคัญที่ยอดทีมแห่งถิ่นแอนฟิลด์ ยังไม่เคยสัมผัสความสำเร็จเลย

พวกเขาเริ่มต้นทัวร์นาเมนต์ด้วยการปราบ มอนเตอร์เรย์ สโมสรแกร่งจากเม็กซิโก ในรอบรองชนะเลิศ จากนั้นก็ต้องดวลกับ ฟลาเม็งโก้ จนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ และเป็น โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ที่ส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายให้ทีมขึ้นนำ โดยเป็นประตูทองของ “หงส์แดง” ด้วย

ความสำเร็จในรายการนี้ยังได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ ลิเวอร์พูล อีกอย่าง นั่นก็คือการเป็นสโมสรจากประเทศอังกฤษทีมแรกที่คว้าแชมป์ระดับนานาชาติครบ 3 รายการในหน้าปฏิทินเดียวกัน

 

5. ลิเวอร์พูล 1-3 เรอัล มาดริด (วันที่ 26 พฤษภาคม 2018)
“เดอะ เร้ดส์” จบอันดับ 4 ในฤดูกาล 2016/17 ทำให้พวกเขาได้ตั๋วไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในซีซั่นถัดมา โดยตอนนั้นทีมจบเป็นอันดับ 1 กลุ่ม อี นั่นหมายความว่าพวกเขาได้ทะลุเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ถ้วยใบโตยุโรปครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009

ในฤดูกาลนั้นไม่มีใครคาดหวังพวกเขาเลย แต่ “หงส์แดง” สามารถหักปากกาเซียนทุกสำนักด้วยการเอาชนะ เอฟซี ปอร์โต้, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาแอส โรม่า เข้าไปพบกับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ที่ตอนนั้นยังมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นตัวชูโรง

เรอัล มาดริด ได้เปรียบในช่วงครึ่งแรกเมื่อ “บังโม” ได้รับบาดเจ็บหนักที่หัวไหล่เล่นต่อไม่ได้ แถมความผิดพลาด 2 ครั้งของ ลอริส คาริอุส ผู้รักษาประตูชาวเยอรมัน ถือเป็นการมอบของขวัญชิ้นโบว์แดงให้ “ราชันชุดขาว” กอปรกับความสุดยอดจาก แกเร็ธ เบล ที่โชว์จักรยานอากาศทำประตูอย่างสุดยอด

สำหรับความพ่ายแพ้ในแมตช์นี้ ถือเป็นการจุดประกายแห่งความมุ่งมั่นของ คล็อปป์ และนักเตะทุกคนในรั้วแอนฟิลด์ เพราะหลังจากนั้นอีก 1 ซีซั่น “หงส์แดง” ผงาดคว้าแชมป์ถ้วยใบนี้อย่างยิ่งใหญ่ แถมฟอร์มในฤดูกาล 2019/2020 ยังฮอตเพราะสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นในพรีเมียร์ลีกด้วย



อ่านข่าวเกี่ยวกับบอล:https://www.fifa55premium.com



โพสต์โดย : LaPALux LaPALux เมื่อ 29 ธ.ค. 2562 10:22:22 น. อ่าน 143 ตอบ 0

facebook