เศรษฐกิจจีนทรุดเกินคาด ตัวเลขเศรษฐกิจจีนหดตัวลงถึง -68% ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ถือเป็นการชะลอตัวที่ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่มีการบันทึกมา ทั้งยังหดตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ไว้ที่ -6.5% อีกด้วย
การหดตัวทางเศรษฐกิจนี้เกิดขึ้นหลังจากจีนประกาศห้ามประชาชนทั่วประเทศเดินทางและให้กักตัวอยู่แต่ในบ้าน เป็นเวลาเกือบ 3 เดือน จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 (COVID-19) ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ตอนกลางของประเทศ ทั้งยังแพร่ระบาดไปทั่วโลกจนมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 2 ล้านรายเมื่อเดือน เม.ย.
จีนไม่เคยเห็นการหดตัวทางเศรษฐกิจอีกเลยหลังจากปี 2535 ซึ่งเป็นปีที่จีนเริ่มเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รายไตรมาสเป็นครั้งแรก
ตลอดเดือนที่แล้ว เจ้าหน้าที่จีนพยายามฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้ง และอนุญาตให้ธุรกิจและโรงงานต่างๆ กลับมาเปิดให้บริการ ทั้งยังออกนโยบายต่างๆ เพื่อช่วยประชาชนและบริษัทจำนวนมากด้วย
เศรษฐกิจจีนทรุดเกินคาด ถึงอย่างนั้น นักวิเคราะห์ก็เผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ส ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนตลอดปี 2563 นั้นจะชะลอตัวเหลือการเติบโตเพียง 2.5% เท่านั้น จาก 6.1% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งการเติบโตที่ระดับนี้เทียบเท่ากับการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีสุดท้ายของการปฏิวัติวัฒนธรรม
ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) คาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจพอเเพียงจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 2.3% ในปีนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 44 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2519 อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19และตลาดการเงินที่มีความผันผวนมากขึ้นตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวลดลงอย่างมากจากที่เวิลด์แบงก์ได้คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนม.ค.ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนจะอยู่ที่ 5.9% โดยในเวลานั้นเวิลด์แบงก์ยังไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ซึ่งมีต้นตอมาจากประเทศจีนสำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลกใกล้เข้าสู่ภาวะชะงักงัน เนื่องจากรัฐบาลมีคำสั่งห้ามประชาชนเคลื่อนไหวสัญจรและภาคธุรกิจต้องปิดการดำเนินงาน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ เวิลด์แบงก์คาดว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวในอัตราต่ำสุดนับตั้งแตปี 2519 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจจีนหดตัวลงอย่างรุนแรง ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายที่เกิดจากการปฏิวัติวัฒนธรรมภายในประเทศฃ
กิจกรรมทางเศรษฐกิจของจีนชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงที่จีนเดินหน้ารับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และเรากำลังจับตาดูว่ารัฐบาลจีนจะสามารถพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่” เวิลด์แบงก์ระบุเวิลด์แบงก์ยังระบุด้วยว่า บริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่งได้เริ่มกลับมาดำเนินการผลิตอีกครั้ง แต่บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ขณะที่มีรายงานว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในจีนกระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เศรษฐกิจจีนทรุดเกินคาด นอกจากนี้ เวิลด์แบงก์ยังเตือนว่า ระบบการเงินทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิกฟิกยังคงมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก พร้อมกับเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินนโยบายการค้าแบบเปิดกว้าง โดยระบุว่า หลายประเทศได้ออกมาตรการคุมเข้มด้านการส่งออกผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อสำรองสินค้าที่จำเป็นเอาไว้สำหรับผู้บริโภคภายในประเทศเท่านั้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้กำลังส่งผลกระทบต่อทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่อ่อนแอกว่า
กองเงินระดับประเทศ IMC ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของจีนในปี 2563 ลงสู่ระดับ 5.6% โดยลดลง 0.4% จากที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนม.ค. เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่
สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกนั้น นางคริสตาลินา จอร์จีวา ผู้อำนวยการ IMF กล่าวในการประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่ม G20 ที่กรุงริยาดห์ ว่า “จากเส้นฐานปัจจุบันของเรานั้น เศรษฐกิจจีนอาจจะกลับสู่ภาวะปกติได้ในไตรมาสที่ 2 ด้วยเหตุนี้ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอาจไม่มากและไม่นาน เศรษฐกิจจีนกำลังเริ่มแสดงสัญญาณการกลับสู่ภาวะปกติ หลังจากที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ บริษัทขนาดใหญ่ของจีนได้เริ่มเปิดดำเนินการ และพนักงานกลับเข้าทำงาน หลังจากมีการปิดภาคธุรกิจก่อนหน้านี้อย่างไรก็ดี IMF เตือนว่าเศรษฐกิจจีนยังคงมีความเสี่ยง จากการที่ไวรัสโควิด-19 อาจกลับมาระบาดอีกครั้ง หากจีนเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศ และให้ชาวจีนออกนอกประเทศ
นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศต่างๆ และภาวะผันผวนในตลาดการเงินระหว่างประเทศ อาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของสินค้าจีนในต่างประเทศส่งผลให้รัฐบาลหลายประเทศรวมถึงไทยใช้มาตรการ Lockdown ห้ามคนเดินทางเข้าออกประเทศ ส่งผลให้ภาคท่องเที่ยวได้รับผลกระทบรุนแรง เช่นเดียวกับธุรกิจอาหารแม้ว่าไตรมาส 2/63 ตามภาวะปกติจะเป็นไฮซีซั่นแต่วันนี้ต้องปิดสาขาชั่วคราวเพราะห้างสรรพสินค้าไม่สามารถเปิดให้บริการได้ตามนโยบายของรัฐบาล
เอสแอนพี โกลบอล เรทติ้งส์ เปิดเผยในรายงานล่าสุดว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะทรุดตัวลงสู่ระดับต่ำกว่า 3% ในปีนี้ ในขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย
นายฌอน โรช หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ กล่าวว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนในไตรมาสแรก ประกอบกับการชัตดาวน์ที่เกิดขึ้นทั่วสหรัฐและยุโรป รวมทั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในท้องถิ่น ทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มอย่างมากที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง
ทั้งนี้ เอสแอนด์พีได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีน, อินเดีย และญี่ปุ่น สำหรับปี 2563 ลงสู่ระดับ 2.9%, 5.2% และ -1.2% ตามลำดับนายโรชกล่าวว่า การลงทุนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 45% ของระบบเศรษฐกิจจีน ได้รับผลกระทบอย่างหนักในต้นปีนี้ โดยพิจารณาจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ซึ่งระบุว่า การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรช่วงเดือนม.ค.-ก.พ. ทรุดตัวลง 24.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค.-ก.พ. ร่วงลง 13.5% และยอดค้าปลีกเดือนม.ค.-ก.พ. ทรุดตัวลงถึง 20.5%
ทั้งนี้ นายโรชกล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวทรุดตัวลงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบอย่างหนักคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของจีน (NDRC) ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจจีนจะกลับสู่ภาวะปกติในไตรมาส 2 ปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลได้ออกมาตรการสนับสนุนในด้านต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
เจ้าหน้าที่ของ NDRC เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในวันนี้ว่า จีนมีเครื่องมือด้านนโยบายมากเพียงพอ และจะเปิดเผยมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดในจีนนั้น ล่าสุดคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) แถลงวันนี้ว่า ณ วันจันทร์ที่ 16 มี.ค. มีผู้เสียชีวิตจากโรคปอดอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในจีน เพิ่มขึ้นอีก 13 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตทั่วประเทศจีน เพิ่มเป็น 3,226 ราย
โพสต์โดย : Thaihotnew เมื่อ 17 เม.ย. 2563 15:12:57 น. อ่าน 143 ตอบ 0