ปัจจุบันการจัดลำดับชั้นคุณภาพเส้นไหมพุ่งอันเป็นเอกลักษณ์ของไหมไทยยังไม่มีระบบที่แน่นอนเนื่องจากการสาวไหมเส้นพุ่งเป็นอุตสาหกรรมในครอบครัว และใช้วิธีการสาวด้วยมือแบบโบราณ เส้นไหมมีจำนวนเกลียวน้อย ขนาดของเส้นไหมไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับความชำนาญ ประสบการณ์และความพอใจของแต่ละคนเป็นการยากที่จะกำหนดให้เกษตรกรแต่ละคนสาวเส้นไหมที่มีลักษณะเดียวกัน KetySmile จะมาบอกคุณค่าของผ้าไหมไทยในปัจจุบันเป็นยังไงบ้าง ( KetySmile เราเป็นผู้ผลิตและจำหน่าย ชุดเดรสผ้าไทย ชุดเดรสทำงาน เดรสผ้าไทย ชุดเดรสแฟชั่น งานตัดเย็บจากช่างฝีมืออาชีพ)
จะเห็นว่าคุณภาพของเส้นไหมพุ่งแตกต่างกันมาก ทำให้มีปัญหาเรื่องตลาดราคาของเส้นไหมจะขึ้นอยู่กับพ่อค้าคนกลาง ซึ่งกำหนดราคาตามความพอใจ เกษตรกรผู้ผลิตเส้นไหมไม่ได้รับความเป็นธรรม ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับพ่อค้าคนกลาง การจัดลำดับชั้นคุณภาพเส้นไหมพุ่งมีปัญหามากมายและเป็นเรื่องยุ่งยาก เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ทำด้วยมือตามความพอใจของแต่ละคน หรือแต่ละหมู่เหล่า
แนวทางในการแก้ปัญหาคือ จัดให้เกษตรกรรวมกลุ่มโดยมีโรงสาวไหมกลางที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐควบคุมดูแลให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดในระยะแรก เพื่อให้เกษตรกรเห็นความสำคัญและผลประโยชน์ที่จะได้รับ การส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงไหมเพื่อขายรังไหมเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะแก้ไขปัญหาการจัดลำดับชั้นคุณภาพเส้นไหมพุ่ง ซึ่งต้องทำควบคู่กันไปกับการส่งเสริมให้เอกชนตั้งโรงงานสาวไหมเส้นพุ่ง เพื่อรับซื้อรังไหมจากเกษตรกร ความจริงการจัดลำดับชั้นคุณภาพเส้นไหมพุ่งของไทยนั้นทำสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยจัดแบ่งเป็น ๓ ชนิด คือ
ไหมชั้น ๑ (ไหมยอดหรือไหมน้อย) คือเส้นไหมที่สาวจากชั้นในของรังไหมชนิดนี้จะมีขนาดเส้นสม่ำเสมอไม่มีปุ่มปม สามารถจะใช้เป็นเส้นยืนได้ใช้ทอผ้าที่มีคุณภาพดี
ไหมชั้น ๒ (ไหมสาวเลย) การสาวไหมชนิดนี้จะไม่มีการแยกสาวไหมชั้นนอกและชั้นในของรัง จะสาวรวมกันไปตลอด คุณภาพของเส้นไหมที่ได้จะต่ำกว่าไหมชั้น ๑ ขนาดของเส้นไหมอาจจะไม่สม่ำเสมอและมีปุ่มปม แต่สำหรับผู้สาวที่มีความชำนาญจะสามารรถสาวได้เส้นไหมที่สม่ำเสมอดีเท่ากับไหมชั้น ๑ ส่วนมากไหมชนิดนี้จะใช้สำหรับผ้ามัดหมี่
ไหมชั้น ๓ คือเส้นไหมที่สาวจากชั้นนอกของรังก่อนที่จะสาวไหมชั้น ๑ เส้นไหมจะมีขนาดใหญ่ไม่สม่ำเสมอ มีปุ่มปม ใช้ทอผ้าเนื้อหนา ส่วนใหญ่ใช้ในการทำเฟอร์นิเจอร์หรือผ้าห่ม
โพสต์โดย : KetySmile เมื่อ 25 พ.ย. 2563 15:35:38 น. อ่าน 141 ตอบ 0