ก่อนที่จะชวนคุณวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างการมองโลกในแง่ดีกับการโลกสวยหลอกตัวเอง อยากชวนให้ทำความรู้จักกับการมองโลกในแง่ดีก่อน ดังนี้
การมองโลกในแง่ดี (Optimism) คือ การที่บุคคลสามารถมองเห็นลักษณะหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ในแง่ดี
การมองโลกในแง่ดีจะช่วยลดการจดจ่ออยู่กับความคิดในแง่ลบของตนเอง
ปฏิเสธอารมณ์ทางลบ ไม่ยอมรับว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์ทางลบเกิดขึ้น
ไม่เคารพประสบการณ์ทางอารมณ์ของคนอื่น ไม่เชื่อว่าสิ่งที่คนอื่นรู้สึกแตกต่างจากตนจะเป็นความจริง
ตำหนิคนอื่นที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกทางลบออกมา (Emotional Shaming)
ดังที่กล่าวไปแล้วว่าเราไม่สามารถใช้รูปแบบของประโยคเป็นตัวจำแนกได้ว่าประโยคแบบไหนมาจากการมองโลกในแง่ดีและประโยคไหนสะท้อนความเป็นคนโลกสวยหลอกตัวเอง เพราะรูปแบบของประโยคมีความเกี่ยวข้องกับภาษาและภาษานั้นตีความได้หลายแบบขึ้นอยู่กับว่าใครตีความรวมไปถึงบริบทของคนที่พูด ยกตัวอย่างเช่น
“ดีแล้วแหละที่เลิกกับผู้ชายคนนี้ไปได้ ต่อจากนี้จะได้เริ่มต้นใช้ชีวิตในแบบที่ควรจะเป็นสักที”
หากผู้พูดมีความรู้สึกไปในทางโล่งใจ และบริบทของผู้พูดคือแฟนเก่าเป็นคนที่มีพฤติกรรมรบกวนจริง ๆ เช่น เจ้าชู้ ติดการพนัน ก้าวร้าว ขี้หึงแบบไม่มีเหตุผล หรือรับรู้ได้ตั้งแต่ก่อนเลิกกันแล้วว่าความสัมพันธ์เป็นแบบ Toxic Relationship ประโยคนี้ก็จะเป็นการมองโลกในแง่ดี
แต่หากผู้พูดมีความรู้สึกเจ็บปวดหรือหดหู่ และบริบทของผู้พูดคือแฟนเก่านั้นเป็นคนที่ไม่ได้มีพฤติกรรมแย่อะไรเพียงแต่บุคลิกอาจจะแตกต่างกันมากจนทำให้ไปต่อไม่ได้ หากค้นลึกเข้าไปข้างในจิตใจของผู้พูดแล้วก็คือไม่อยากจะเลิกกับแฟนเก่าเลย ประโยคนี้ก็จะเป็นการมองแบบโลกสวยหลอกตัวเอง
ความแตกต่างอีกอย่างของสองคำนี้ก็คือ ผลกระทบและพฤติกรรมที่เกิดจากวิธีการคิดของตนเองที่มีต่อคนรอบข้าง คนที่มองโลกในแง่ดีมักไม่มีพฤติกรรมรบกวนคนอื่น แต่คนที่มองแบบโลกสวยหลอกตัวเองนั้นมักจะตรงข้าม เนื่องจากวิธีการมองโลกนั้นส่งผลต่ออารมณ์ คนที่มองโลกในแง่ดีมักมุ่งจัดการกับความเครียดแบบมุ่งจัดการปัญหา (Active Coping) ทำให้คนที่มองโลกในแง่ดีมักมีความเครียดน้อยกว่า ส่วนคนที่มองแบบโลกสวยหลอกตัวเองมักจัดการกับความเครียดแบบหลีกหนีปัญหา (Avoidance Coping) ทำให้เกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่ได้ไปจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่ถูกเพื่อนร่วมงานนินทาในที่ทำงาน
โพสต์โดย : เจ้าหนู เมื่อ 29 ต.ค. 2566 19:41:42 น. อ่าน 144 ตอบ 0