พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ สุดสัปดาห์นี้พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง สำหรับ “วันแดงเดือด” ที่จะอุบัติขึ้น ณ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ของ “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดรังต้อนรับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เตะวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม ตอน 5 ทุ่ม ตามเวลาประเทศไทย
ถือเป็นเกมสำคัญของทั้งคู่ เพราะจ่าฝูง เชลซี จะเตะก่อน 1 วันไปเยือน เลสเตอร์ ซิตี หากคว้าชัยจะโยนความกดดันให้ ลิเวอร์พูล ทันทีกับช่วงห่างที่ขยายชั่วคราวเป็น 8 แต้ม
ขณะที่ แมนฯยู ด้วยฟอร์มชนะ 9 นัดรวดรวมทุกรายการ ย่อมหวังลึกๆ ว่า จะลุ้นแชมป์ด้วยเป็นธรรมดา โดยมี ท็อตแนม ฮอตสเปอร์, แมนเชสเตอร์ ซิตี และ อาร์เซนอล ร่วมเส้นทางนี้ ดังนั้น สถานการณ์ ณ จุดนี้เรียกได้ว่ายังมองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าใครจะสมหวังในบั้นปลาย
เริ่มกันที่เจ้าถิ่น แมนฯยู กว่า โชเซ มูรินโญ จะปรับทัพเข้าที่เข้าทางก็ทำแต้มหลุดมือไปพอสมควร อย่างไรก็ตาม เป้าหมายคือต้องติดท็อปโฟร์กลับไปเล่น ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ให้ได้เป็นอย่างน้อย
แมนฯยู ล่าสุด เปิดบ้านชนะ ฮัลล์ ซิตี 2-0 กุมความได้เปรียบในศึก คาร์ลิง คัพ รอบรองชนะเลิศนัดแรกอัด ฮัลล์ ซิตี 2-0 เมื่อวันที่ 10 มกราคม ที่ผ่านมา โดยเกมรับถือว่าเข้าตามาก เพราะ 3 นัดติดต่อกันแล้วที่ไม่เสียประตู อย่างไรก็ตาม เกมนี้จะไม่มี มาร์กอส โรโฮ กองหลังที่เจ็บจากเกมก่อนหน้านี้ที่เล่นในรังชนะ เรดดิง 4-0 ถ้วย เอฟเอ คัพ รอบ 3 กระนั้นก็ตาม ฟิล โจนส์ กับ คริส สมอลลิง ถือว่าทดแทนได้แบบไม่ขี้เหร่
ส่วนตำแหน่งที่เหลือ มูรินโญ ไร้ปัญหาในการจัดทัพเหลือก็แต่ปีกซ้ายที่ถือว่าฟอร์มสดพอกัน อย่างไรก็ตาม อองโตนีย์ มาร์กซิอาล น่าจะรับโอกาสออกสตาร์ทปั่นป่วนก่อน มาร์คัส แรชฟอร์ด ด้านกองหน้า ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่ซัดไปแล้ว 18 ประตูรวมทุกรายการ ทั้งที่วัยปาเข้าไป 35 ปี จะฟิตแม้ว่ามีอาการไข้หายหน้าหายตาไปในเกมล่าสุด ที่เหลือก็ พอล ป็อกบา, เฮนริกห์ มคิตาร์ยาน, อันเดร เอร์เรรา และ ไมเคิล คาร์ริค รายงานตัวกันครบ
ด้านอาคันตุกะ ลิเวอร์พูล ถือว่าน่าเป็นห่วงกว่า 3 นัดติดทุกถ้วยที่ไม่ชนะใครเริ่มจากแมตช์บุกเสมอ ซันเดอร์แลนด์ 2-2 จึงน่าจะเสียขวัญไม่น้อย เพราะ เชลซี ก็สะดุดแพ้ช่วงห่างเลยยังไม่กระชั้นกว่านี้อยู่ที่ 5 แต้ม ตามด้วยเล่นในบ้านเสมอ พลีมัธ 0-0 ศึก เอฟเอ คัพ รอบ 3 และล่าสุดเมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่ผ่านมาไปเยือนพ่าย เซาแธมป์ตัน 1-0 ในรายการ ลีก คัพ รอบรองชนะเลิศนัดแรก
เรียกได้ว่า เจอร์เกน คล็อปป์ นายใหญ่ชาวเยอรมัน มีปัญหาคือผู้เล่นสำรองไม่อาจทดแทนชุดใหญ่ ทว่า เกมที่แพ้ เซาแธมป์ตัน ได้ ฟิลิปเป คูตินโญ เพลย์เมกเกอร์แซมบ้าที่เจ็บไปนานลงเล่นช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้าย ดังนั้น แมตช์พบกับ แมนฯยู น่าจะได้ออกสตาร์ทกู้สถานการณ์
ลึกๆ คล็อปป์ น่าจะเสียขบวนไม่น้อย เพราะเกมล่าสุดเรียก ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ กองหน้าที่ได้ออกสตาร์ทมารับกลยุทธ์ ซึ่งมีสีหน้าตกใจอย่างชัดเจนก่อนยื่นกระดาษโน้ตให้เพื่อน โดยภายหลังจบแมตช์ที่ เซนต์ แมรีส์ กุนซือเยอรมัน เฉลยว่า ปรับเป็น 3-5-2 อย่างไรก็ตาม ช้าเกินไปที่จะกลับสู่เกม ทว่า ก็ยังมีนัดสองให้แก้ตัวที่ แอนฟิลด์ วันที่ 25 มกราคมนี้ ของศึก ลีก คัพ รอบตัดเชือก
“คือระบบใหม่ อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะต้องการเรียกว่า 3-5-2 ก็ได้ คือ มี 2 ปีก 2 กองหน้า ก็แค่นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ เหนืออื่นใดคิดว่ามีการปรับกันช้าไปหน่อย ถือเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น 7 หรือ 8 คนเท่านั้นที่เห็นมัน ส่วน โรเบอร์โต เฟอร์มิโน อาจจะยังไม่รู้” คล็อปป์ เผย
สำหรับเกมแรกในลีกที่เจอกันมานั้นเสมอ 0-0 ที่ แอนฟิลด์ ส่วนแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล ขาด ซาดิโอ มาเน แนวรุกที่ไปรับใช้ชาติลุยศึก แอฟริกัน เนชันส์ คัพ ถือว่าเสียหายมาก ดังนั้น ต้องพึ่ง คูตินโญ ว่าจะกลับมาร่ายมนต์อีกครั้งได้หรือไม่ ด้าน แมนฯยู คงเน้นเต็มสูบ เพราะหากผ่านได้โปรแกรม 8 นัดจากนั้นรวมทุกรายการงานเบามาก มีสิทธิ์ชนะต่อเนื่องก่อนที่จะไปเยือนรังของ แมนเชสเตอร์ ซิตี ในเกมลีกช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้