MENU
เว็บบอร์ด
ผลบอล
วิเคราะห์บอล
ไฮไลท์ฟุตบอล
ตารางคะแนน
ดูบอลสด
Menu
หน้าแรก
ดูบอลสด
ตารางบอลวันนี้
ตารางบอลพรุ่งนี้
ผลบอลย้อนหลัง
ทายผลบอล
ข่าววันนี้
ข่าวเด่นวันนี้
ข่าวพรีเมียร์ลีค
ข่าวลาลีกา
ข่าวบุนเดสลีกา
ข่าวกัลโซ่ ซีเรียอา
ข่าวลีกเอิง
ข่าวไทยพรีเมียร์ลีก
ข่าวยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ข่าวยูโรป้า
ข่าวฟุตบอลโลก
ลิ้งดูบอล
คลิปไฮไลท์
ไฮไลท์ฟุตบอลอุ่นเครื่อง
ไฮไลท์พรีเมียร์ลีก
ไฮไลท์ลาลีกา
ไฮไลท์บุนเดสลีกา
ไฮไลท์กัลโซ่ ซีเรียอา
ไฮไลท์ลีกเอิงฝรั่งเศษ
ไฮไลท์ไทยพรีเมียร์ลีก
ไฮไลท์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ไฮไลท์ยูโรป้า
ผลบอล
ดูทีวีออนไลน์
วิเคราะห์บอล
ตารางคะแนน
พรีเมียร์ลีค
แชมเปี้ยนชิพอังกฤษ
ลาลีกา
บุนเดสลีกา
กัลโซ่ซีเรียอา
ลีกเอิงฝรั่งเศส
ไทยพรีเมียร์ลีก
ไทยดิวิชั่น1
Holland Eredivisie
บุนเดสลีก้า2 เยอรมัน
ลาลีกา2 สเปน
ซูเปอร์ลีกา โปรตุเกส
เว็บบอร์ด
ติดต่อโฆษณา
เบลเยี่ยม มีลุ้น แชมป์ฟุตบอลโลก
โพสต์เมื่อ 9 ก.ค. 2561 17:12:16 น. เข้าชม 781 ครั้ง
แจ้งลบ
ศึกฟุตบอลโลก 2018 ดำเนินมาถึงช่วง 100 เมตรสุดท้ายหรือรอบรองชนะเลิศ โดยจะเตะกันวันที่ 10 กับ 11 กรกฎาคมนี้ ซึ่งหนึ่งในทีมที่ได้รับการจับตามองรวมถึงเสียงเชียร์ไม่น้อยก็คือ เบลเยียม ดังนั้นเราจะพาไปรู้จักกับ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" ย้อนไปตั้งแต่ยุครุ่งเรือง จนถึงการปฎิวัติจากสมาคมฯ ก่อนที่จะเป็นยอดทีมที่อัดแน่นไปด้วยซูเปอร์สตาร์ลูกหนังเฉกเช่นทุกวันนี้
เบลเยียม ยุคเฟื่องฟูสุดขีดคือช่วงทศวรรษ 80 กับผลงานรองแชมป์ ยูโร ปี 1980 ตามด้วยอันดับ 4 ฟุตบอลโลก 1986 นักเตะตัวชูโรงคือ แฟรงกี เวอร์คัวเตเรน ปีกซ้ายเจ้าของฉายา “เดอะ ลิตเติล ปรินซ์” ไล่หลังมาก็เป็นจอมทัพอย่าง เอ็นโซ ชีโฟ ถึงกระนั้นก็ตามจากนั้นผลงานดำดิ่งได้เล่น เวิลด์ คัพ เพียงแค่ 4 ครั้งต่อจากที่ เม็กซิโก แถมไปได้ไกลแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย โดย 2 ครั้งหลังสุดที่ เยอรมนี กับ แอฟริกาใต้ ไม่ผ่านรอบคัดเลือก ด้านฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้เล่น 2 ครั้งตกรอบแรกทั้งหมด
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ สมาคมฟุตบอลเบลเยียม ตัดสินใจลุกขึ้นมาปฏิวัติรื้อระบบการจัดการทั้งหมด คือ ยูโร 2000 ที่เป็นเจ้าภาพร่วมกับ เนเธอร์แลนด์ ทว่าตกรอบแรก ทั้งที่นักเตะก็มีชื่อชั้นอย่าง ลุค นิลิส, เอมิล เอ็มเปงซา และ มาร์ก วิลมอตส์ โดยถูกชาติอย่าง ตุรกี เบียดคว้าอันดับ 2 ของกลุ่มไปครองทั้งที่มีแค่ 4 แต้ม
เจ้าของแนวคิดที่จะปลุกชีพ เบลเยียม หรือฉายา “ปีศาจแดงแห่งยุโรป” ให้กลับมาน่าเกรงขามอีกครั้งก็คือ มิเชล ซาบลอน ผู้อำนวยการด้านเทคนิค ที่มองว่าฟุตบอลในประเทศอย่าง จูปิแลร์ ลีก ไม่เหมาะที่แข้งวัยละอ่อนจะพัฒนาฝีเท้าให้เบ่งบานจึงสนับสนุนให้กระจายไปเล่นยัง ลีก เอิง ฝรั่งเศส หรือ เอเรดิวีซี ลีก เนเธอร์แลนด์
ซาบลอน เป็นหนึ่งในสตาฟฟ์ทีมชาติเบลเยียม ชุดลุยฟุตบอลโลกที่ เม็กซิโก, อิตาลี และ สหรัฐอเมริกา กล่าวถึงพิมพ์เขียวที่เป็นคนคิดขึ้นมาว่า “ฟุตบอลสโมสรของเราล้มเหลวเป็นเหตุให้ผลงานระดับทีมชาติไม่ดีพอ ทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ไม่สามารถไปแข่งกับ สเปน หรือ ฝรั่งเศส ได้เลย ดังนั้นปี 2002 เราจึงเริ่มศึกษาพวกเขาอย่างใกล้ชิด เริ่มจากฝรั่งเศส และมีการนัดประชุมกันปีละ 2 ครั้ง ซึ่งก็ทำเช่นเดียวกันกับ เนเธอร์แลนด์ บางครั้งก็ยังพบกับ เยอรมนี ทุกอย่างไปได้สวย และเริ่มปรับปรุงสิ่งที่เราพยายามทำอยู่ขึ้นเรื่อยๆ”
แน่นอนว่าความสำเร็จไม่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน อันเดอร์เลชท์ และ สตองดาร์ด ลีแอจ 2 สโมสรยักษ์ใหญ่ภายในประเทศต้องพัฒนาดาวรุ่ง พร้อมออกกฎให้มีเกมระดับเยาวชนตามเกณฑ์ ซึ่งถ้าอายุมากขึ้นแมตช์ที่เล่นก็เพิ่มตามไปด้วย ประเด็นสำคัญคืออยากให้เด็กพวกนี้พร้อมก้าวสู่อีกระดับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“เรามีการทำโบรชัวร์ จากนั้นก็เริ่มรวมกลุ่มผู้คนบนโต๊ะจากแผนกเทคนิคและตัดสินใจเกี่ยวกับการทำแผน 3 เป้าหมาย 1.สโมสร 2.ทีมชาติ และ 3.โค้ชระดับโรงเรียน ทั้งหมดอยู่ภายใต้วิสัยทัศน์เดียวกัน เรามุ่งไปที่ทีมก่อน ถามถึงการส่งลงเล่นระดับอายุไม่เกิน 18 ปี เจาะลึกถึงระบบ 4-3-3 ใช้เวลา 5-6 ปีกว่าทุกคนจะปรับตนเองให้ยอมรับได้ เพราะทั้งโค้ชและลีกต่างสนใจชัยชนะของตนเองมาก่อนเป็นลำดับแรก ไม่ง่ายที่จะเริ่ม แต่ในที่สุดทุกคนก็มองเห็น จากนั้นก็เดินไปพร้อมกันเพื่อสร้างผู้เล่นที่ดีกว่าเดิม ผมรู้จักโค้ชมากมายช่วงหลายปีมานี้ และเชื่อว่าเราได้บุคคลที่ทำงานอย่างจริงๆ รวมถึงรู้ว่าทำกำลังอะไรอยู่” เจ้าของแนวคิด เผย
ทำให้ปี 2007 เบลเยียม มีแข้งเยาวชนที่ตอนนี้เล่นลีกยุโรปอย่าง เอเดน อาซาร์ (เพลย์เมกเกอร์ / เชลซี) และ คริสเตียน เบนเตเก (กองหน้า / คริสตัล พาเลซ) โดยเป็นแกนหลักชุดเข้าถึงรอบรองชนะเลิศศึกฟุตบอล ยูโร รุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี ซึ่งก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี ปีถัดมาก็มีเลือดใหม่อย่าง มารูยาน เฟลไลนี (กองกลาง / แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) และ แวงซองต์ กอมปานี (กองหลัง / แมนเชสเตอร์ ซิตี) ไปลุย โอลิมปิก 2008 ที่ จีน ซึ่งได้ถึงอันดับ 4
ซาบลอน เผยอย่างภาคภูมิใจว่า “การทำงานยังคงดำเนินไป ผู้เล่นอย่าง เฟลไลนี, อาซาร์, แยน แฟร์ตองเกน และ โทมัส แฟร์มาเลน เริ่มฉายแววตั้งแต่อายุ 17 หรือ 18 ปี เราไม่สงสัยเลย เพราะพัฒนาระบบให้ทุกคนกลายเป็นนักเตะที่ดีกว่าเดิมและก็เห็นผลแล้ว ณ ขณะนี้ชัดเจนว่าเรากำลังยกระดับขึ้น แสดงว่าทุกอย่างใช้ได้มาถูกทาง”
แม้จะมีประชากรเพียงแค่ 11 ล้านคน แต่ยังได้ประโยชน์จากการอพยพเข้ามาของผู้คนหลากหลายวัฒนธรรม เบนเตเก และ กอมปานี มีเชื้อสายคองโก ขณะที่ เฟลไลนี ก็โมร็อกโก ทั้งหมดเกิดในเบลเยียม ซึ่งตอนนี้มีนักเตะมากมายเล่นให้กับสโมสรยักษ์ใหญ่ของยุโรป
สำหรับรอบรองชนะเลิศ เวิลด์ คัพ 2018 เบลเยี่ยม จะพบกับ ฝรั่งเศส แชมป์โลกเมื่อปี 1998 เตะวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ ณ เครสตอฟสกี้ สเตเดี้ยม ตอนตี 1 ตามเวลาประเทศไทย ส่วนอีกคู่คือ โครเอเชีย พบ อังกฤษ เตะวันที่ 11 ก.ค.นี้ ณ ลุซนิกี้ สเตเดี้ยม ตอนตี 1 จากนี้ไม่ว่า "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" จะได้แชมป์โลกในปีนี้หรือไม่ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างมีรูปแบบที่พร้อมให้หลายชาตินำไปเดินตามรอย
แสดงความคิดเห็น
เบลเยี่ยม
ฟุตบอลโลก
Member
Login
ลืมรหัสผ่าน
|
สมัครสมาชิกใหม่
ดูฟุตบอลออนไลน์